วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กรณีพิพาทอินโดจีน - มณฑลบูรพา

๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ ฝ่ายไทยได้แต่งตั้ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม่ทัพบก แม่ทัพเรือ และแม่ทัพอากาศ
กองทัพบก ได้จัดกองทัพบกสนาม โดยมีนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นแม่ทัพบก ประกอบด้วย กองทัพบูรพา กองทัพอีสาน กองพลผสมปักษ์ใต้ กองพลพายัพ และกองพลผสมกรุงเทพ ฯ มีการประกอบกำลัง ดังนี้
กองทัพบูรพา นายพันเอก หลวงพรหมโยธี เป็นแม่ทัพ
มีภารกิจ เข้าตีด้านประเทศเขมร เพื่อเข้ายึดกรุงพนมเปญ บรรจบกับกองทัพอิสานที่พนมเปญ แล้วทั้งสองกองทัพกวาดล้างข้าศึกขึ้นไปทางเหนือ ตามแนวแม่น้ำโขง เพื่อบรรจบกับกองพลพายัพที่กวาดล้างลงมาทางใต้
ประกอบด้วย กองพลพระนคร กองพลลพบุรี กองพลปราจีนบุรี กองพลวัฒนานคร กองพลจันทบุรี โดยตั้งกองบัญชาการอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี
กองพลพระนคร ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๑, ที่ ๒ และ ที่ ๓
กองพลลพบุรี ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๔, ๖, ๓๗, ๑ (หนุน), ๒๙ (หนุน) และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๔
กองพลปราจีนบุรี ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๕, ๘, ๔๕, ๓๑ (หนุน) (จัดแบบกองพันอัตราศึก) และ ๑ กองพันทหารปืนใหญ่
กองพลวัฒนานคร ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่
กองพลจันทบุรี ประกอบด้วย กองพันนาวิกโยธินที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓, กองพันทหารม้าที่ ๔ (ม.พัน ๔ ), กองพันทหารปืนใหญ่นาวิกโยธิน, กองทหารช่าง (ทบ.) และ กองทหารสื่อสาร (ทบ.)
กองทัพอีสาน นายพันเอก หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เป็นแม่ทัพ
มีภารกิจ เข้าตีตามแนวชายแดนด้านเขมรตั้งแต่เขตจังหวัดสุรินทร์ ไปถึงด้านลาว ตั้งแต่เขตจำปาศักดิ์ ไปถึงด้านเหนือ คือเวียงจันทน์ ด้านเหนือ ให้ทำการบรรจบกับกองพลพายัพที่เวียงจันทน์ แล้วให้รุกลงมาทางใต้ตามแนวลำน้ำโขง
ประกอบด้วย กองพลอุดร กองพลอุบล กองพลสุรินทร์ กองพลธนบุรี กองพลนครราชสีมา หน่วยขึ้นตรงกองทัพฝ่ายกิจการพิเศษ กองหนุนกองทัพ และหน่วยทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
กองพลอุดร ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒, ๒๒, ๒๒(หนุน), ๑ กองพันทหารปืนใหญ่, กองทหารช่าง,กองทหารสื่อสาร และกองกำลังสำรอง
ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย นครพนม และสกลนคร
กองพลอุบล ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๓๐, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๘, กองทหารม้าที่ ๕, หมวดรถรบ, กองทหารช่าง, กองทหารสื่อสาร, กองกำลังสำรอง และกองพลาธิการกองพล
ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และศรีสะเกษ
กองพลสุรินทร์ ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๗,๒๙,๑๙ (หนุน),กองพันทหารม้าที่ ๓, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๐, กองทหารช่าง, กองทหารสื่อสาร และ กองกำลังสำรอง
ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และบุรีรัมย์
กองพลธนบุรี เป็นกำลังหนุนเพิ่มเติม ตั้งขึ้นภายหลังการทำสัญญาพักรบ
มีภารกิจแก้ปัญหาเมื่อฝรั่งเศสไม่ปฏิบัติตามสัญญาไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น
ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒๘, ที่ ๒ (หนุน), ที่ ๓ (หนุน), กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๖, กองทหารสื่อสาร และ กองกำลังสำรอง

กองพลนครราชสีมา เป็นกำลังหนุนเพิ่มเติม ตั้งขึ้นภายหลังการทำสัญญาพักรบ
มีภารกิจเช่นเดียวกับกองพลธนบุรี
ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒๑, ที่ ๒๑ (หนุน), ที่ ๑๙ (หนุน) และ ที่ ๑๙ (หนุน)
กองพลผสมปักษ์ใต้ ประกอบด้วย กองพลสงขลา และกองพลนครศรีธรรมราช มีนายพันเอก หลวงเสนาณรงค์ เป็นผู้บัญชาการกองพล
กองพลสงขลา ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๕, ที่ ๔๑, ที่ ๔๒ และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๗
กองพลนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๓๘, ที่ ๓๙, ที่ ๔๐ และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๓
กองพลพายัพ นายพันโท หลวงหาญสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองพล
มีภารกิจ เข้าตีเพื่อยึดหลวงพระบาง เวียงจันทน์ แล้วกวาดล้างข้าศึกลงมาทางใต้ ตามแนวลำน้ำโขง เพื่อทำการยุทธบรรจบกับกองทัพอิสาน
ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๓๐,ที่ ๓๑,ที่ ๒๘ (หนุน),ที่ ๓๐ (หนุน) และกองทหารสื่อสาร
กองพลผสมกรุงเทพ ฯ ประกอบด้วย กองพันทหารม้าที่ ๑, กองพันทหารช่างที่ ๗, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๖, กองสื่อสารและกองรถรบ

ในเดือนมกราคม ๒๔๘๔ การรบเป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้น กำลังทางอากาศโจมตีเป้าหมายทางทหารอย่างได้ผล มีการสู้รบทางอากาศเป็นหลายครั้ง มีวีรชนของกองทัพอากาศหลายท่าน นับแต่ น.ต.ศานิต นวลมณี เป็นต้นมา กำลังทางบกสามารถรุกเข้าไปในดินแดนของข้าศึก มีการรบปะทะเป็นหลายหน จนฝ่ายเรายึดได้ธงประจำหน่วยของข้าศึกซึ่งประดับเหรียญกล้าหาญได้จากวีรกรรมที่บ้านพร้าว ส่วนทางทะเล ก็เกิดยุทธนาวีที่เกาะช้าง ในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ . . .
๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ เกิดยุทธนาวีที่เกาะช้าง ตั้งแต่เช้าตรู่
ส่วนกำลังทางบกนั้น ฝ่ายฝรั่งเศสได้เคลื่อนย้ายกำลังจากเวียดนาม และด้านอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมกำลังทางด้านศรีโสภณ ทั้งสิ้นประมาณ ๔ กองพัน ประกอบด้วย รถถังขนาดเบา ประมาณ ๓ - ๔ คัน ปืนใหญ่ขนาด ๗๕ มม. ๓ กองร้อย (๑๒ กระบอก) ปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ มม. ๑ กองร้อย (๔ กระบอก) และทหารราบอีกประมาณ ๒ กองพัน
๑๙ มกราคม ๒๔๘๔ กองพลลพบุรีเข้ายึดแนวบ้านเขมาเสน กับบ้านอรัญเก่าได้ โดยไม่มีการต้านทาน
๒๔ มกราคม ๒๔๘๔
กองทัพอากาศ ได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๙ (ฮอร์ค ๒) จำนวน ๓ เครื่อง ขึ้นบินลาดตระเวนรักษาเขต โดยมี เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร เป็นหัวหน้าหมู่บิน ขณะปฏิบัติภารกิจอยู่บริเวณบ้านยาง อำเภออรัญประเทศ พบเครื่องบินทิ้งลาดตระเวนของข้าศึกแบบโปเตซ์ ๒๕ จำนวน ๑ เครื่อง และเครื่องบินขับไล่แบบโมราน ๔๐๖ จำนวน ๓ เครื่อง เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ ฯ จึงนำหมู่บินเข้าสกัดกั้นและยิงเครื่องบินลาดตระเวนของข้าศึกตก
Potez 25 Hawk II
การรบทางอากาศ เมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๔๘๔ (ภาพวาดสีน้ำมัน ในพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ)
๒๕ มกราคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาสงบศึก
ในช่วงแรกของการรบ ญี่ปุ่นซึ่งมีฐานทัพอยู่ในอินโดจีนได้เฝ้าดูอยู่ โดยยังมิได้มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่เมื่อรบกันไปได้ไม่นาน ก็เห็นว่ากองทัพไทย สามารถรุกไล่กองทัพฝรั่งเศส ได้โดยไม่ยาก และกำลังได้เปรียบทางการรบ ญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวความคิดที่จะสถาปนา "ร่วมวงไพบูลย์มหาเอเซียบูรพา" (Greater East Asia Co - prosperity spuere) ซึ่งประกอบด้วย ญี่ปุ่น แมนจูกัว จีน และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ วงไพบูลย์มหาเอเซียบูรพา จะบูรณาการเอเซีย ในทางการเมือง และเศรษฐกิจ โดยญี่ปุ่นเป็นผู้นำ จึงได้แสดงบทบาทความเป็นผู้นำวงไพบูลย์มหาเอเซียบูรพาด้วยการเสนอตนต่อรัฐบาลไทย และรัฐบาลฝรั่งเศส ขอเป็นคนกลาง เพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทนี้
ฝรั่งเศสซึ่งกำลังเสียเปรียบในการรบ เห็นว่าเป็นทางออกที่ดี
ส่วนฝ่ายไทยก็เห็นว่า น่าจะถึงจุดที่ฝรั่งเศสจะยอมตามข้อเรียกร้องของไทยแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นด้วย ยอมให้ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา ฝ่ายไทยได้ตั้งคณะผู้แทนไปเจรจาทำความตกลงพักรบที่ไซ่ง่อน

ดังนั้น ในระหว่างนี้ไทยเราจึงต้องพยายามรักษาดินแดนของเราไม่ให้ฝ่ายฝรั่งเศสแย่งยึดได้ และพยายามยึดดินแดนส่วนที่เราเรียกร้องให้ได้มากที่สุด
๒๕ มกราคม ๒๔๘๔ การลำเลียงกำลังนาวิกโยธินจากสถานีทหารเรือสัตหีบ ไปรักษาพระราชอาณาเขตด้านจันทบุรี - ตราด แล้วเสร็จ (เริ่มลำเลียง ตั้งแต่ วันที่ ๓ มกราคม) กำลังส่วนนี้ (คือกองพลจันทบุรี) ได้เข้ารักษา ช่องทางเคลื่อนที่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ณ จุดต่างๆ ตามแนวชายแดน คือ บ้านคลองใหญ่ บ้านคลี่ บ้านโอลำเจียก บ้านผักกาด บ้านโป่งสลา บ้านบึงชนังล่าง บ้านบึงชนังกลาง บ้านแหลม บ้านโป่งน้ำร้อน บ้านใหม่ บ้านนาแปลง ส่วนกำลังทหารปืนใหญ่เข้าที่ตั้งยิงที่บ้านบึงชนัง
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการยกพลขึ้นบกของข้าศึกทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย และเป็นการป้องกันรักษาปีก และการตีโอบหลังกำลังทางบกของฝ่ายเรา
๒๗ มกราคม ๒๔๘๔ กองพลลพบุรีรุกต่อไปถึงบ้านดอนเดร และฝ่ายเราได้ล้อมจับเชลยศึกได้จำนวนมาก
กรมโฆษณาการประกาศแถลงการณ์ของรัฐบาลว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีคำสั่งให้หยุดการรบตั้งแต่ วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ เวลา ๑๐๐๐ เป็นต้นไป เพื่อการเจรจา

และในวันนี้ ประเทศไทยได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาพักรบที่ไซ่ง่อน (บนเรือลาดตระเวณญี่ปุ่น ชื่อ นาโตริ ซึ่งจอดอยู่หน้าเมืองไซ่ง่อน) มีทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนร่วมกัน เดินทางจากพระนคร โดยนาวาอากาศเอก พระศิลปสัตยาคม เป็นหัวหน้าคณะ

เวลา ๑๙๔๕ กองพลจันทบุรี ได้รับคำสั่ง จากแม่ทัพ กองทัพบูรพา ให้เคลื่อนที่เข้าตีรุกเข้าไปในดินแดนประเทศเขมร
กองพลจันทบุรี เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว จัดกำลัง เข้าตี เป็น ๒ กองรบ คือ กองรบด้านเหนือ และ กองรบด้านใต้
๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ ก่อน สิบนาฬิกา - ฝนสั่งฟ้า - อำลาดินแดนเขมร
กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบิน โจมตีแบบ ๒ (นาโกย่า) จำนวน ๙ เครื่อง ไปปฏิบัติภารกิจโจมตีทิ้งระเบิดที่บ้านไพลิน และบ้านศรีโสภณ โดยมีเครื่องบินขับไล่ แบบ ๑๑ ( Hawk 75 ) จำนวน ๓ เครื่อง บินคุ้มกัน
เครื่องบินโจมตีแบบ ๒ (นาโกย่า) เครื่องบินขับไล่ แบบ ๑๑ (Hawk 75)
การโจมตีทิ้งระเบิด เมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔
ภาพวาดสีน้ำมัน ในพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ
การปฏิบัติการครั้งนี้ สร้างความเสียหายแก่ข้าศึกอย่างหนัก
นับเป็นการปฏิบัติภารกิจทางอากาศครั้งสุดท้ายของการรบในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส


๒๘ มกราคม ๒๔๘๔
กองรบด้านเหนือ กองพลจันทบุรีได้เริ่มเคลื่อนที่เข้าตี จากบ้านบึงชนังกลาง มุ่งเข้าสู่ บ้านพุมเรียงล่าง ข้าศึกได้ต่อสู้อย่างรุนแรง สามารถยึดได้ บ้านพุมเรียงล่าง
ส่วนกองรบด้านใต้ ได้เริ่มรุกเข้าไปในดินแดนของข้าศึก ยึดได้บ้านบ่อหญ้าคา โดยไม่มีการสู้รบ และได้เคลื่อนที่ต่อไป เข้า ยึดบ้านห้วยเขมร ได้ปะทะกับฝ่ายฝรั่งเศส ผลการต่อสู้ ฝ่ายข้าศึก เสียชีวิต ๑ คน บาดเจ็บ ไปหลายคน ฝ่ายเราปลอดภัย
กองรบด้านใต้ รุกต่อไป ยึดได้บ้านบ่อตั้งสู้ บ้านตั้งมะไฟ และ ทางทิศตะวันตก ของไพลิน ห่างจาก ที่ว่าอำเภอไพลิน ๕ กิโลเมตร
การรุก ของกองพลจันทบุรี ในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ ก่อนเวลา ๑๐๐๐ สามารถยึดพื้นที่ ของข้าศึก ได้ ๑๒ ตำบล คือ บ้านตาเสน บ้านตามัว บ้านพุมเรียงล่าง บ้านโป่งกระเชียง บ้านห้วยเขมร บ้านบ่อตั้งสู้ บ้านตั้งมะไฟ บ้านบ่อหญ้าคา บ้านสรอบบน บ้านสรอบล่าง บ้านเขาเขียว บ้านคลองกะปุก
เวลา ๑๐๐๐ หยุดการรบ ตามคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ทางด้านตะวันออก
๒๙ มกราคม ๒๔๘๔ ส่วนนำของกองพลลพบุรี ได้รุกมาถึงบริเวณบ้านชุก หน้าภูเขาพนมแตงกวา ทางตะวันตกของเมืองศรีโสภณ
นายพันเอก หลวงพรหมโยธี แม่ทัพบูรพา กำลังรายงาน นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ทางด้านอื่นๆ กองทัพไทย มีชัยชนะกองทัพฝรั่งเศสในทุกด้าน ดังนี้
กองทัพอิสาน
กองพลสุรินทร์ ได้รับภารกิจ ยึดเมืองเสียมราฐ เคลื่อนที่ในแนว สำโรง - จงกัล - ศรีโสภณ บรรจบกับกองทัพบูรพาที่ศรีโสภณ แล้วรุกต่อไปทางใต้ จาก เสียมราฐ - นครวัด - พนมเปญ กองพลสุรินทร์ไม่ได้ปะทะกับข้าศึกเลย สามารถยึดได้เมืองสำโรง และจงกัล เกือบถึงเสียมราฐ และนครวัด
กองพลอุบล ได้รับภารกิจ ยึดพื้นที่สามเหลี่ยมของนครจำปาศักดิ์ (ในลาว) ในทิศทาง อ.วารินชำราบ - ปากเซ - จำปาศักดิ์
ร.พัน ๒๑ กองพลอุบล เมื่อรุกเข้าไปถึงบ้านดู่ ต้องทำการรบอย่างดุเดือดเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ผลักดันข้าศึดออกไปได้ และกองพลอุบลก็สามารถยึดได้แคว้นนครจำปาศักดิ์
กองพลอุดร มีภารกิจป้องกันการเข้าตีของข้าศึกตามแนวแม่น้ำโขง และเป็นกองหนุนของกองทัพอิสาน
กองทัพอิสาน สามารถเข้าครอบครองพื้นที่สามเหลี่ยมของแคว้นจำปาศักดิ์ได้โดยตลอด และรุกเข้าไปในเขมร ถึงชานเมืองเสียมราฐ และนครวัด
กองพลพายัพ ยึดได้ แคว้นหลวงพระบางบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง และเมืองห้วยทราย ตรงข้ามเชียงแสน มีเมืองปากลาย หงสา และเชียงฮ่อน
๓๑ มกราคม ๒๔๘๔ เริ่มการเจรจาพักรบบนเรือลาดตระเวณญี่ปุ่น ชื่อ นาโตริ ซึ่งจอดอยู่หน้าเมืองไซ่ง่อน การเจรจาใช้เวลา ๓ วัน
๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ ลงนามพักรบบนเรือลาดตระเวณญี่ปุ่น ชื่อ นาโตริ ซึ่งจอดอยู่หน้าเมืองไซ่ง่อน
HIJMS. NATORI
บนเรือรบ นาโตริ
ข้อตกลงเกี่ยวกับการสงบการรบ ระหว่าง อินโดจีนฝรั่งเศสและไทย มีสาระสำคัญย่อๆ คือ
- กองทหารจะต่างถอยไปฝ่ายละ ๑๐ กิโลเมตรจากที่มั่นอันแท้จริงซึ่งยึดอยู่ เมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ เวลา ๑๐๐๐ (เวลาท้องถิ่น)
- การถอนทหารดังกล่าว ต้องกระทำให้เสร็จภายใน ๗๒ ชั่วโมง นับตั้งแต่ขณะที่ได้ลงนามในข้อตกลงสงบการรบเป็นต้นไป คือนับตั้งแต่ ๓๑ มกราคม ๒๔๘๔ เวลา ๑๘๐๐
- การสงบการรบมีกำหนด ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ และเงื่อนไขของการตกลงเด็ดขาดของการพิพาทนั้น ต้องตกลงให้เสร็จก่อนที่ระยะเวลาดังกล่าวจะสิ้นสุดไป
- เชลยศึกซึ่งแต่ละฝ่ายจับได้ ต้องส่งคืนทันที หลังจากการลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทเด็ดขาดนั้น
ทำที่ประเทศญึ่ปุ่น ๓๑ ม.ค.๘๔
เวลา ๑๗๐๐
ต่อจากนั้นรัฐบาลได้ส่งคณะผู้แทนอีกคณะหนึ่ง มีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ ทรงเป็นประธาน พร้อมด้วยข้าราชการทหารและพลเรือน เดินทางไปยังกรุงโตเกียว เพื่อเจรจาเงื่อนไขของการตกลงเด็ดขาดของการพิพาท นั้น
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ
๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ เริ่มการประชุม เพื่อเจรจาเงื่อนไขของการตกลงเด็ดขาดของการพิพาท ที่กรุงโตเกียวโดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นประธานฝ่ายญี่ปุ่น เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียว เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส
การประชุมดำเนินไปด้วยความยากลำบาก ต้องทำสัญญาสงบการรบต่อไปอีก ๒ ห้วง จึงตกลงกันได้
๖ มีนาคม ๒๔๘๔ การเจรจาตกลงกันได้ในสาระสำคัญ ฝ่ายไทย และฝ่ายฝรั่งเศส ตกลงยอมรับแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น สาระสำคัญ คือ
- ไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสตามอนุสัญญา ฯ เป็นพื้นที่ ๖๙,๐๖๙ ตารางกิโลเมตร ซึ่งได้จัดตั้งเป็น ๔ จังหวัด
- ไทยยอมจ่ายเงินชดเชยค่าที่ฝรั่งเศสได้สร้างทางรถไฟไว้ในอินโดจีน (เขมร) เป็นเงิน ๖ ล้านเปียสต์อินโดจีน โดยแบ่งใช้มีกำหนด ๖ ปี
๑๑ มีนาคม ๒๔๘๔ พิธีลงนาม ความตกลงกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้ไกล่เกลี่ย (สัญญาสันติภาพ) โดยฝ่ายฝรั่งเศส ยอมยกดินแดนแขวงหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจัมปาศักดิ์ และแคว้นเขมร ให้แก่ไทย ความตกลงข้อนี้เป็นที่พอใจของฝ่ายไทยทุกประการ ในการนี้รัฐบาลไทยได้ประกาศให้หยุดราชการในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๘๔ และได้ประดับธงชาติไทยคู่กับธงชาติญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกมีกำหนด ๓ วัน

ตำปราศรัยของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
มอบแก่ทหารของชาติ และตำรวจสนาม บรรดาที่ได้ไปปฏิบัติการรบในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส
ฯ ล ฯ
. . . ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณอย่างเต็มเปี่ยมมายังพี่น้องและตำรวจสนาม บรรดาที่ได้ปฏิบัติราชการรบครั้งนี้ ตลอดจนพี่น้องของเราบรรดาที่ได้สละชีพไปแล้วนั้นด้วย จงทุกท่าน และขอจารึกเกียรติประวัติของท่านทั้งหลายลงเป็นอนุสรณ์อันถาวรตรึงตราพื้นแผ่นดินไทยไว้ว่า ท่านเหล่านี้ คือผู้ที่ได้กู้เกียรติอันสำคัญมาสู่ชาติไทยอันเป็นปิตุภูมิ อย่างไม่มีวันลบเลือนไปจากพื้นพิภพนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐาน อาศัยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นที่มั่น จงดลบันดาลให้พี่น้องทหาร และตำรวจสนามที่รักของข้าพเจ้าประสบแต่ความสวัสดี มีชั สุข เจริญในลาภ ยศ และสรรพมิ่งมงคลทั้งมวล ตราบใดที่แสงพระอาทิตย์ยังส่องต้องพื้นพิภพ ตราบนั้นก็ขอเกีรยติศักดิ์อันยิ่งใหญ่ของท่าน จงสถิตย์เสถียรภาพรุ่งโรจน์อยู่เป็นคู่รัศมีตลอดไปชั่วนิรันดร
พล.ต.พิบูลสงคราม
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
๑๑ มีนาคม ๒๔๘๔

๒๓ เมษายน ๒๔๘๔ กองบัญชาการทหารคสูงสุดออกแถลงการณ์ เรื่อง รายการทหารและตำรวจสนามต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บเนื่องในการป้องกันการรุกรานของอินโดจีนฝรั่งเศส สรุปได้ ดังนี้
- ทหารเสียชีวิต ๑๖๐ คน
- บาดเจ็บถึงทุพพลภาพ ๑๖ คน
- บาดเจ็บสาหัส ๑๐๐ คน
- บาดเจ็บเล็กน้อย ๓๐๗ คน
ฝ่ายฝรั่งเศส
- ทหารเสียชีวิต ไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ คน
- บาดเจ็บ มากมาย คงไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ คน เป็นอย่างน้อย
(ข่าวทหาร วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ ว่ามีเชลยศึก ทั้งที่เป็นชาวยุโรป ทหารพื้นเมืองอินโดจีน และทหารจากอาณานิคมฝรั่งเศสในอัฟริกา รวมทั้งสิ้น ๔๑๘ คน)
ฝ่ายเรายึดดินแดนได้ ดังต่อไปนี้
ภาคบูรพา จากเขตแดนอรัญประเทศ ถึงบริเวณหน้าเมืองศรีโสภณ เป็นระยะทางประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ทางเหนือจดเขต บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ทางใต้ จดเขตจันทยุรี
ด้านจันทบุรี ได้อยู่ใกล้บ้านไพลิน
ภาคอิสาน
กองพลสุรินทร์ เข้ายึดดินแดนได้เป็นลำดับ ห่างจากตัวเมืองเสียมราฐ และนครวัด ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร
กองพลอุบล เข้าครอบครองพื้นที่แคว้นจำปาศักดิ์ ตอนรูปสามเหลี่ยมได้โดยตลอด
กองพลอุดร คงอยู่ตามริมฝั่งขวาแม่น้ำโขงตามเดิม
ภาคพายัพ ยึดได้แคว้นหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขงทั้งสิ้น คือพื้นที่แคว้นหลวงพระบางที่ฝ่ายเราเสนอขอคืน
๒๗ เมษายน ๒๔๘๔ ทางกองทัพสนามได้จัดให้มีการสวนสนาม ทหารบก ทหารเรือพรรคนาวิกโยธิน ทหารอากาศ และตำรวจสนาม บรรดาที่ได้ไปปฏิบัติการรบ และได้ชัยชนะกลับมาอย่างงดงาม เป็นการฉลองชัยชนะที่พระนคร
๓ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ได้ยุบเลิกหน่วยตำรวจสนาม
อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว
๙ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ลงนามในอนุสัญญาสันติภาพ ณ กรุงโตเกียว ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งเรียกกันว่า "อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว" (Tokyu Convention) ประเทศไทยได้ดินแดนบางส่วนจากฝรั่งเศสกลับคืนมา และจัดตั้งจังหวัดใหม่ขึ้น ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดลานช้าง จังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดพระตะบอง

ยุบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม่ทัพบก แม่ทัพเรือ และแม่ทัพอากาศ ซึ่งตั้งขึ้นในกรณีพิพาทอินโดจีนของฝรั่งเศส
๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ด้วยพระหทัยพิการ ณ ที่ประทับ ประเทศอังกฤษ พระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา
๓ มิถุนายน ๒๔๘๔ ถวายพระเพลิง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประเทศอังกฤษ

๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔ นายพลตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ณ ต้นทางถนนพหลโยธิน บริเวณถนนพญาไท บรรจบกับถนนราชวิถี เพื่อเป็นอนุสรณ์และเกียรติประวัติแต่วีรชนผู้กล้าหาญ และสละชีพเพื่อชาติทั้ง ๑๖๐ คน
หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีแรงบันดาลใจห้าประการ คือ
ปฏิบัติการของกองทัพทั้ง ๔, ปฏิบัติการอย่างกล้าหาญของกำลังพล, อาวุธที่ทหารใช้สู้รบ, เหตุการณ์ที่สำคัญที่ต้องเปิดการสู้รบ และ ความสนใจของประชาชน
หม่อมหลวงปุ่มใช้ดาบปลายปืน ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายทหาร โดยใช้ดาบปลายปืนห้าเล่มรวมกัน จัดตั้งเป็นกลีบแบบลูกมะเฟือง ปลายดาบชี้ขึ้นบน ส่วนคมของดาบหันออก ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับหินอ่อน มีความสูงประมาณ ๕๐ เมตร ดาบปลายปืนส่วนด้ามตั้งเหนือเพดานห้องโถงใหญ่ ซึ่งใช้เก็บกระสุนปืนใหญ่ บรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตในกรณีพิพาทไทย - ฝรั่งเศส


ด้านนอกตอนโคนดาบปลายปืน มีรูปปั้นหล่อทองแดง ขนาดสองเท่าคนธรรมดา ของนักรบ ๕ เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน
ศิลปินผู้ปั้นรูปเหล่านี้เป็นลูกศิษย์ของ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เช่น สิทธิเดช แสงหิรัญ, อนุจิตร แสงเดือน, พิมาน มูลประสุข, แช่ม ขาวมีชื่อ ภายใต้การควบคุมของศ.ศิลป พีระศรี
ด้านนอกของผนังห้องโถง เป็นแผ่นทองแดงจารึกนามผู้เสียชีวิต รายนามผู้ที่ได้รับการจารึกไว้มีทั้งสิ้น ๑๖๐ คน เป็นทหารบก ๙๔ คน ทหารเรือ ๔๑ คนทหารอากาศ ๑๓ คน และตำรวจสนาม ๑๒ คน
๒๘ กรกฎาคม ๒๔๘๔ กองทัพไทยได้กระทำพิธีสวนสนามรับมอบดินแดนในอินโดจีน ที่จังหวัดพระตะบอง เพื่อฉลองชัยชนะกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส โดย นายพลโท หลวงพรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
นายพลโท หลวงพรหมโยธี
ดินแดนที่ไทยได้คืนจากฝรั่งเศสได้จัดตั้งเป็นอำเภอและจังหวัด เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่แม่ทัพนายกองของไทย และผู้ที่เป็นหลักในการดำเนินการต่อกรณีพิพาทอินโดจีน คือ อำเภอไพรีระย่อเดช อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต อำเภอพรหมโยธี อำเภออธึกเทวเดช อำเภอสินธุสงครามชัย อำเภอวรรณไวทยากร อำเภออดุลย์เดชจรัส อำเภอหาญสงคราม และจังหวัดพิบูลสงคราม และได้จัดการปกครองดังนี้
เมืองพระตะบอง (เขมร - สีแดง) ยกท้องที่เมืองนี้ขึ้นเป็น จังหวัดพระตะบอง
อำเภอเมืองพระตะบอง ตามเขตอำเภอพระตะบองเดิม
อำเภอพรหมโยธี ตามเขตอำเภอสังแกเดิม
อำเภออธึกเทวเดช ตามเขตอำเภอระสือเดิม
อำเภอมงคลบุรี ตามเขตอำเภอมงคลบุรีเดิม
อำเภอศรีโสภณ ตามเขตอำเภอศรีโสภณเดิม
อำเภอสินธุสงครามชัย ตามเขตอำเภอตึกโชเดิม
อำเภอไพลิน ตามเขตอำเภอไพลินเดิม
เมืองเสียมราฐ (เขมร - สีน้ำเงิน) ได้ยกฐานะท้องที่เมืองนี้ขึ้นเป็น จังหวัดพิบูลสงคราม
อำเภอไพรีระย่อเดช ตามเขตอำเภอบ้านพวกเดิม
อำเภอกลันทบุรี ตามเขตอำเภอกลันทบุรีเดิม
อำเภอพรหมขันธ์ ตามเขตอำเภอพรหมขันธ์เดิม
อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต ตามเขตอำเภอสำโรงเดิม
อำเภอวารีแสน ตามเขตอำเภอวารีแสนเดิม
อำเภอจอมกระสานต์ ตามเขตอำเภอจอมกระสานต์เดิม
นครจัมปาศักดิ์ (ลาว ฝั่งขวาแม่น้ำโขง - สีเขียว) ยกท้องที่แขวงนี้ขึ้นเป็น จังหวัดนครจำปาศักดิ์
อำเภอเมืองนครจัมปาศักดิ์ ตามเขตอำเภอเมืองนครจัมปาศักดิ์เดิม
อำเภอวรรณไวทยากร ตามเขตอำเภอมูลป่าโมกเดิม
อำเภอธาราบริวัติ ตามเขตอำเภอธาราบริวัติเดิม
อำเภอมโนไพร ตามเขตอำเภอมโนไพรเดิม
อำเภอโพนทอง ตามเขตอำเภอโพนทองเดิม
หลวงพระบาง (ลาว ฝั่งขวาแม่น้ำโขง) ยกท้องที่แขวงนี้ขึ้นเป็น จังหวัดลานช้าง
อำเภอสะมาบุรี ตามเขตอำเภอสะมาบุรีเดิม
อำเภออดุลเดชจรัส ตามเขตอำเภอปากลายเดิม
อำเภอแก่นท้าว ตามเขตอำเภอแก่นท้าวเดิม
อำเภอเชียงฮ่อน ตามเขตอำเภอเชียงฮ่อนเดิม
อำเภอหาญสงคราม ตามเขตอำเภอหงษาเดิม
 
 
บรรณานุกรม
- ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดย ศาสตราจารย์ ดิเรก ชัยนาม แพร่พิทยา กรุงเทพฯ ๒๕๐๙
- ประวัติกองทัพไทย ในรอบ ๒๐๐ ปี พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๕๒๕ กรมแผนที่ทหาร กรุงเทพฯ ๒๕๒๕
- กรณีพิพาทระหว่างไทย - อินโดจีนฝรั่งเศส โดย พันเอก โอภาส โพธิแพทย์ * "วิวัฒนาการทหารปืนใหญ่" ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๒ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน ลพบุรี *(ปัจจุบันท่านได้รับพระราชยศ "พลเอก")
- กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส โดย พลเรือโท ชาญ วีระประจักษ์ ได้เขียนไว้ในวารสารนาวิกศาสตร์ ฉบับ ปีที่ ๘๗ เล่มที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ทางรถไฟสายคอคอดกระ
ทางรถไฟสายคอคอดกระ เป็นทางรถไฟทหารข้ามพื้นที่คอคอดกระ (ชุมพร–กระบุรี) ที่สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกรื้อถอนไปหลังสิ้นสุดสงคราม สำหรับการสร้างเส้นทางรถไฟ สายชุมพร-กระบุรี-คลองละอุ่น นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อลำเลียงเสบียงอาหาร กำลังพล อาวุธหนักจากจังหวัดชุมพรไปฝั่งอันดามัน

ในรัชสมัยแห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ตรงกับยุคที่สหราชอาณาจักรแผ่แสนยานุภาพครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีปแอฟริกาและเอเซียตะวันออก ซึ่งการการรถไฟของประเทศอังกฤษมีความก้าวหน้ามาก ถึงกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียมีพระราชไมตรี ส่งรถไฟจำลองที่เป็นเครื่องราชบรรณาการ ที่มีแบบรถไฟจำลองย่อส่วนจากของจริง ประกอบด้วยรถจักรไอน้ำและรถพ่วงครบขบวน เดินบนรางด้วยแรงไอน้ำทำนองเดียวกับรถใหญ่ที่ใช้อยู่ในเกาะอังกฤษมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงคิดสถาปนากิจการรถไฟขึ้นในราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกับสหราชอาณาจักรบ้าง
ต่อมามิสเตอร์ไวซ์ แห่งบริษัทลอยด์ในกรุงลอนดอน ก็ได้ส่งหนังสือมายังรัฐบาลสยาม มีใจความสำคัญ"เพื่อขอสัมปทานสร้างทางรถไฟสายแรกขึ้นในประเทศสยาม มีเส้นทางจากชายฝั่งทะเลอันดามันด้านมหาสมุทรอินเดียข้ามคอคอดกระไปจรดชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทางด้านตะวันออก โดยจะขอแผ่นดินสองข้างทางรถไฟข้างละประมาณ 5 ไมล์ โดยบริษัทจะมีอำนาจสิทธิขาดเหนือแผ่นดินนั้น ตลอดทั้งสินแร่ทรัพยากรในที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของบริษัทด้วย นอกจากนั้นถ้าหากรัฐบาลสยามต้องการจะสร้างทางรถไฟสายใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ บริษัทก็ยินดีจะจัดหาวิศวกรและรางเหล็กให้แก่รัฐบาลสยาม"  ทางฝ่ายอังกฤษได้จัดตั้งบริษัท " บริษัทรถไฟสยาม " เพื่อบริหารโครงการนี้ ฝ่ายรัฐบาลสยามได้ตอบรับยอมให้บริษัทรถไฟสยามสร้างทางรถไฟข้ามคอคอดกระเพื่อประโยชน์ทางพาณิชย์ได้ แต่จะต้องทำตามเงื่อนไขบางประการของฝ่ายไทย โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายคอคอดกระในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงยุติไป
วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ทหารญี่ปุ่นได้ทำการรื้อถอนทางรถไฟสายนี้บางช่วง โดยแจ้งฝ่ายไทยว่าจะนำไปซ่อมแซมในเส้นทางรถไฟสายใต้ที่ถูกโจมตีด้วยระเบิด ต่อมากองทัพญี่ปุ่นเสนอยอมแพ้สงครามเมื่อ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ทหารสหประชาชาติได้เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ต่อจากนั้นทหารอังกฤษจึงได้รื้อทางรถไฟสายนี้ต่อจากญี่ปุ่น แล้วนำกลับไปมลายูลำเลียงโดยรถไฟ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อ่าวกรุงเทพ

"อ่าวกรุงเทพ" หรือ "อ่าวไทยรูปตัว ก"   เป็นจุดเหนือสุดของอ่าวไทย โดยคิดจากอำเภอหัวหินในทางตะวันออกไปจนถึงอำเภอสัตหีบ

แม่น้ำที่ไหลลงสู่อ่าวกรุงเทพ  ลำน้ำที่สำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยาและลำน้ำสายแยก หากพิจารณาจากส่วนที่เป็นแผ่นดินตามเข็มนาฬิกาดังนี้คือ แม่น้ำเพชรบุรี, แม่น้ำบางตะบูน, แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน , แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง ไหลลงสู่อ่าวนี้ 

เกาะบางเกาะได้ตั้งอยู่นอกชายฝั่งทางตะวันออกของอ่าว เช่น เกาะสีชัง, เกาะล้าน และเกาะไผ่


ไฟล์:Bay of Bangkok.svg

แผนที่อ่าวกรุงเทพ

ไฟล์:Bangkok Bay 100.51548E 13.10281N.png

ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงพื้นที่อ่าวกรุงเทพ 

พระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 เป็นพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเมื่อ 23 กันยายน พ.ศ. 2502 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 76 ตอนที่ 92 หน้าที่ 430 วันที่ 29 กันยายน ปีเดียวกันนั้น และมีผลใช้บังคับในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ เนื่องจากเขตจังหวัดต่าง ๆ ทางทะเลในอ่าวไทยตอนในยังไม่เป็นที่ชัดแจ้ง เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในทางปฏิบัติบางประการจึงควรจะได้กำหนดเสียให้เป็นที่ชัดแจ้ง เพื่อประโยชน์ในการปกครองและความสะดวกของประชาชน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ไฟล์:AoThai-Ratchakitcha.jpg

แผนที่แนบท้ายพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502
เบญจสุทธคงคาน้ำศักดิ์สิทธิ์กับประเพณีไทย
ประเพณีไทย

น้ำสำคัญที่เคยใช้สำหรับ พระราชพิธีสำคัญๆ อันเกี่ยวกับด้วยองค์พระมหากษัตริย์ของไทยนั้นจำเป็นต้องเสาะแสวงหาเลือกเฟ้นเอาแต่น้ำในแม่น้ำหรือบ่อสระที่นิยมนับถือกันมาแต่โบราณสมัยว่า สถานที่นั้นๆเป็นสถานที่อันทรงความศักดืสิทธิ์ชึ่งนิยมนับถือกันมาจนกลายเป็นประเพณีไทยสืบๆกันมา

น้ำสำคัญหรือน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ใช้สำหรับองค์พระมหากษัตริย์สรงสนานในการพระราชพิธีสำคัญเช่น พระราชพิธีมูรธาภิเษก และพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยากับทั้งใช้สำหรับเป็นน้ำเสวยโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย อันประเพณีไทยเกี่ยวเนื่องกับน้ำสำหรับองค์พระมหากษัตริย์นั้น ไทยเราเห็นจะได้แบบอย่างคตินี้มาจากคติของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งชาวอินเดียได้นำมาเผยแพร่พร้อมกับวัฒนธรรมด้านอื่นๆในภูมิภาคส่วนนี้ซึ่งชาวอินเดียผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ถือคติว่าน้ำเป็นเครื่องชำระล้างบาปกรรมที่ตนกระทำความชั่วให้หมดสิ้นไปด้วยการสรงสนานชำระล้างร่างกาย ในแม่น้ำหรือสระหรือบ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ นักจารึกแสวงบุญนอกจากจะเที่ยวไปไหว้พระ (พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์) ตามเทวาลัยต่างๆแล้วยังท่องเที่ยวไปอาบน้ำลอยบาปในสถานที่ดังกล่าวนั้นอีกด้วย เพื่อให้ร่างกายและจิตใจนั้นใสสะอาดหมดจดจากเครื่องเศร้างหมองคือ กิเลส
ไทยเราได้รับนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนที่จะมารับนับถือพระพุทธศาสนา คติในศาสนาพราหมณ์คลุกเคล้ากับคติของพระพุทธศาสนาจนแทบจะแยกกันไม่ออก นี่หมายถึงพิธีกรรมไม่ใช่หลักธรรม บรรดาแม่น้ำและสระอันศักดิ์สิทธิ์ที่นิยมนับถือกันมาในประเทศไทยนั้น คงมีปรากฏดังนี้
เบญจสุทธคงคาสำหรับสรงสนานมูรธาภิเษก
*น้ำในแม่น้ำป่าสัก ตักที่ตำบลท่าราบ จังหวัดสระบุรี
*น้ำในแม่น้ำบางประกง ตักที่บึงพระอาจารย์ จังหวัดปราจีนบุรี
*น้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ตักที่ท่าชัย ตรงหน้าท่าวัดไชยศิริ ตำบลสมอพลือ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี
*น้ำในแม่น้ำราชบุรี(แม่น้ำแม่กลอง) ตักที่ในคลองดาวดึงส์ ตรงท่าวัดดาวดึงส์ ซึ่งอยู่ใน ตำบลปากง่าม อำเภออำพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
*น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ตักที่ตำบลบางแก้ว (อำเภอบางแก้ว ปัจจุบันคืออำเภอเมืองอ่างทอง)
นอกจากจะตักน้ำจากแม่น้ำเหล่านี้แล้ว ในสมัยก่อนๆยังนิยมตักน้ำจากสระทั้ง ๔ ในตำบลทุ่งหว้า อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี คือ สระแก้ว,สระคา,สระยมนา,สระเกศ สระทั้ง๔นี้เป็นสระโบราณ ที่ริมสระมีเจดีย์สระละ ๑ องค์ปัจจุบันตื้นเขินมาก เจดีย์ริมสระก็ปรักหักพังจะสิ้นซากอยู่แล้ว
นอกจากแม่น้ำและสระที่กล่าวมาก็คงยังจะมีสระตระพัง บ่อในจังหวัดอื่นๆอีกที่น่าจะเคยใช้น้ำในสระ บ่อ เหล่านั้นเกี่ยวกับพระราชพิธีสำคัญเช่นนั้นด้วยเช่น สระแก้ว ทะเลชุบศร จังหวัดลพบุรี , สระแก้ว สระขวัญ สระลพ จังหวัดปราจีนบุรี , สระโกสินารายณ์ จังหวัดราชบุรี , บ่อหน้าพระลาน บ่อวัดเสมาชัย บ่อวัดประตูขาว บ่อสระข่าววัดหอไตร จังหวัดนครศรีธรรมราช  ตระพังทอง ตระพังเงิน ตระพังโพยศรีบ่อพระสยมภูวนาถ คูวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น
"แม่น้ำเพชรบุรี"  หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า  “น้ำเพชร”  เป็นธรรมชาติมีต้นน้ำจากทิวเขาตะนาวศรี  ซึ่งแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศสหภาพพม่า  ไหลผ่านพื้นที่ในเขตอำเภอท่ายาง อำเภอบ้านลาด วัดท่าไชย อำเภอเมืองเพชรบุรี และลงสู่ทะเลอ่าวไทยที่อำเภอ    บ้านแหลมทางด้านทิศเหนือของจังหวัด

 แม่น้ำเพชร 

 มีความสำคัญในฐานะที่เป็นศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ฯลฯ ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นน้ำเสวยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวราชกาลที่  4   สืบมา จนกระทั่งยกเลิกไปใน พ.ศ.2465 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  ในอดีตกล่าวกันว่า น้ำเพชรมีรสอร่อย ใสสะอาด และจืดสนิท จึงถือได้ว่าน้ำเพชรเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเพชรบุรีอีกประการที่หนึ่งที่ชาวเพชรบุรีภาคภูมิใจ
เป็นน้ำสำหรับพระราชพิธี


           ตามโบราณราชประเพณีจะใช้จากแม่น้ำทั้ง 5 ในประเทศสยามคือ แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำเพชรบุรี ในการพระราชพิธีต่างๆ

           เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2411 นั้นก็ได้ใช้น้ำเพชรบุรี ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามที่ปรากฏในตราสารว่า “ ด้วยกำหนดพระฤกษ์การพระราชพิธีราชาภิเษกในวันพุธ เดือน 12 ขึ้น 6 ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก ”ต้อง การน้ำเข้าพระราชพิธี จึงให้พระยาเพชรบุรีตักน้ำท่าไชยหม้อหนึ่งโดยเอาใบบอนปิดปากหม้อแล้วเอาผ้า ขาวหุ้มปากหม้อ ด้ายผูกติดมันตราประจำครั่งแต่งให้กรมการผู้ใหญ่คุมลงไปส่งยังกรุงเทพฯ

           สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษกสมโภชพระ บาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 6 ได้จัดพระราชพิธีตามมณฑลต่างๆ สำหรับมณฑลราชบุรี ได้จัดที่วัดมหาธาตุ จังหวัดเพชรบุรี โดยได้ใช้น้ำเพชรบุรี ในการพระราชพิธีนี้ด้วย

           สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราชและพระราชพิธีราชภิเษกสมรสก็ได้ใช้น้ำจากแม่น้ำเพชรบุรี โดยประกอบพิธีน้ำอภิเษก ณ วัดมหาธาตุ ทำพิธีพลีกรรมตักน้ำที่เป็นสิริมงคล ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์วัดท่าไชย ตำบลสมอพลอ อำเภอบ้านลาด


เป็นน้ำเสวยสำหรับเครื่องต้น           เรื่องน้ำเพชรเป็น น้ำเสวยนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล 6 ได้ทรงกล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขาที่มีถึงเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2465 ความตอนหนึ่งว่า"...เรื่องแม่น้ำเพชรบุรีนี้ เคยทราบมาแต่ว่าถือกันว่าเป็นน้ำดีเคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 รับ สั่งว่านิยมกันว่ามันมีรสแปลกกว่าลำน้ำเจ้าพระยา และท่านรับสั่งพระองค์เองเคยเสวยน้ำเพชรบุรีเสียจนเคยแล้วเสวยน้ำอื่นๆไม่ อร่อยเลยต้องส่งน้ำเสวยจากเมืองเพชรบุรีและน้ำนั้นเป็นน้ำเสวยจริงๆตลอดมา กาลปัจจุบัน" ซึ่งน่าจะเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองเพชรที่ เล่าขานเสมอมาว่าน้ำเพชรฯ นั้นดีจืดอร่อย แม้แต่ พระปิยะมหาราชก็ยังทรงโปรดเสวยน้ำเพชรที่ท่าไชยนับเป็นเกียรติคุณที่ชาว เพชรภาคภูมิใจ
           ความสำคัญของน้ำเพชรสิ้นสุดลงในพ.ศ.2465 โดย ได้เปลี่ยนเป็นน้ำประปาแทน ทั้งนี้เพราะทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า แม่น้ำเพชรบุรีตลอดสองฝั่งมีบ้านเรือนของราษฎรตั้งอยู่อย่างหนาแน่น น้ำในลำน้ำมีสิ่งปฏิกูลสกปรกไม่เหมาะสมที่จะเป็นน้ำเสวยอีกต่อไป จึงได้กราบบังคมทูลในรายงานของพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2465 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชกระแสให้งดการตักน้ำจากแม่น้ำเพชร

เป็นน้ำกิน น้ำใช้สำหรับราชทูต อุปทูต และตรีทูต

           ใน รัชสมัยของพระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทีจำทูลพระราชสารออกไปเจริญพระราชไมตรี ในต่างประเทศ เป็นหน้าที่ที่เจ้าเมืองกรมการเมืองจะต้องลำเลียงใส่เรือสองลำเป็นประจำนำ ส่งที่อ่าวสามร้อยยอด บางครั้งเจ้าเมืองเจ้าเมืองกรมการเมืองลืมลำเลียงไปส่งตกเป็นภาระลำเลียง เอาน้ำเพชรไปเองทางเมืองเพชรบุรีต้องจ่ายค่าลำเลียงน้ำเป็นเงินลำละ 1 ชั่งสองลำก็เป็นเงิน 2 ชั่งทุกครั้ง



คุณค่าต่อชาวเมืองเพชรบุรี

           น้ำ จากแม่น้ำเพชรบุรีนอกจากจะมีความสำคัญสำหรับพระมหากษัตริย์แล้ว ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของชาวเพชรบุรีอย่างต่อ เนื่องกล่าวคือ เป็นเส้นชีวิตสำหรับการเกษตร อุตสาหกรรม ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนหนาแน่นบริเวณสองฝั่งแม่น้ำ ยังใช้น้ำเพื่อการบริโดภคและอุปโภค เมื่อ 40 ปี ที่ผ่านมา ชาวเมืองเพชรบุรีส่วนใหญ่ลงอาบน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี ผู้ชายนุ่งผ้าขาวม้า ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงลงอาบน้ำกันตลอดจนการซักล้างภาชนะต่างๆนับว่าเป็นภาพที่ มีชีวิตชีวายิ่ง นอกจากนี้ในบริเวณท่าน้ำภายในตัวเมืองจะมีเรือนานาชนิด ทั้งเรือพาย เรือแจว เรือถ่อและเรือพ่วง นำผลิตผลมาค้าขายกันนับเป็นตลาดน้ำที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในอดีต

           วัด ท่าไชยศิริเดิมเรียกวัดใต้ เพราะอยู่ด้านใต้ของลำน้ำเพชรบุรีมีอานาเขตติดต่อกับวักกลาง และวัดเหนือ ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้าง ศิลปกรรมที่สำคัญของวัดคือพระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สันนิษฐานว่าเป็นสมัยลพบุรีรุ่นหลัง

 




 

          นอก จากนี้ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์คือ เป็นที่ตักน้ำเพื่อใช้พิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ และเป็นที่ตักน้ำสรง น้ำเสวยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

           ปัจจุบัน เมื่อมีการตักน้ำที่ท่าน้ำเพื่อไปใช้ในงานราชพิธีก็จะมีการกรองด้วยผ้าขาว บางก่อนชั้นหนึ่งและนำมากรองด้วยเครื่องกรองน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาด”

         


 

 

 

 

ศาลาท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ
           วัดท่าไชย นี้เดิมเรียกว่าวัดใต้  เพราะอยู่ด้านใต้ของลำน้ำแม่น้ำเพชรบุรีเหนือน้ำขึ้นไปเป็นที่ตั้งวัดกลาง  และวัดเหนือ ทั้ง  3  วัดมีอาณาเขตติดต่อกัน วัดกลางและวัดเหนือปัจจุบันเป็นวัดร้าง  เฉพาะวัดกลางขณะนี้ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งบวชที่วัดป่าแป้นได้เข้าไปบูรณะสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่ทับโบสถ์เดิม  และสร้างกุฏิเล็กไว้  3  หลัง  ศาลาการเปรียญ  1  หลัง และกำลังดำเนินการขอยกฐานะขึ้นเป็นวัดอยู่ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 1  บ้านสมอพลือ  ตำบลสมอพลือ  อำเภอบ้านลาด  จังหวัดเพชรบุรี 
























ลิลิตโองการแช่งน้ำ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา


ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีที่เก่าแก่มาก แต่งขึ้นในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่๑


ลิลิตโองการแช่งน้ำฉบับนี้ แต่งขึ้นด้วยโคลงห้า และร่ายดั้น อันเป็นเอกลักษณ์ เพราะเป็นวรรณคดีเพียงเรื่องเดียวที่ใช้โคลงห้าที่เหลือรอดจนถึงปัจจุบัน ลิลิตโองการแช่งน้ำ จึงเป็นวรรณกรรมทางการเมืองที่เก่าแก่เรื่องหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ ในการที่จะพิทักษ์พระราชอำนาจ โดยพระมหากษัตริย์อาจมุ่งให้ผู้ถือสัตย์เกิดความเกรงกลัวและยึดมั่นในคำสัตย์สาบานของตนอีกประมาณหนึ่ง เป็นเสมือนการตรวจสอบอำนาจและความจงรักภักดีของข้าราชการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสวยน้ำสาบานด้วย ทำให้มุ่งหมายขอบเขตของการแช่งน้ำจากการแสดงความจงรักภักดี เป็นประกาศตัวเป็นพวก พระมหากษัตริย์ทรงลดฐานะลงมา กระทำ สัญญาประชาคมทางใจกับข้าราชการ เป็นทำนองต่างฝ่ายจะซื่อตรงต่อกัน


ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นวรรณกรรมเก่าแก่ ใช้สำหรับอ่านหรือสอนในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพิธีที่ประกอบขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีของ ข้าราชการและขุนนาง เชื่อกันว่าลิลิตโองการแช่งน้ำแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นคือรัชสมัยของพระรามาธิบดี ที่ ๑ เนื่องจากมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ผู้บ่ดีบ่ซื่อใครใจคอใจคด ขบถเจ้าผู้ผ่านเกล้าอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักพรรดิศรราชาธิราช ท่านมีอำนาจ มีบุญ”
เนื้อเรื่องของลิลิตโองการแช่งน้ำแบ่งเป็น ๕ ส่วนด้วยกัน กล่าวคือ
๑. คำสดุดีเทพเจ้าทั้ง ๓ องค์ ในศาสนาพราหมณ์หรือตรีมูรติ ประกอบด้วยร่าย ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศรและพระพรหม พระผู้ประทับเหนือหลังครุฑ "สี่มือถือสังข์จักรคธาธรณี"(พระนารายณ์) พระผู้ประทับบนวัวเผือก "เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเปนปิ่น" (พระศิวะ) และผู้ประทับ "เหนือขุนห่าน" (พระพรหม) เป็นร่ายสามบทสั้นๆ ต่อมาเป็นเรื่องไฟล้างโลก การ สร้างโลก และการอภิเษกพระเจ้าแผ่นดิน
๒. กล่าวถึงกำเนิดโลก และสังคมมนุษย์ อัญเชิญเทพยดา พระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีต่างๆ มาเป็นพยาน ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า การอัญเชิญพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มาเป็นพยานในพิธีซึ่งมีคติความเชื่อเรื่องผีบ้านผีเรือน เทวดาชั้นต่าง ๆ และเทวดาอารักษณ์ ที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาจึงต้องเชิญมาเพื่อให้เป็นพยานและเป็นหูเป็นตามิให้ผู้คิดคดทรยศ ความเชื่อเรื่องเทวดา หรือเทพเจ้าต่าง ๆ นี้ เป็นคติพราหมณ์แต่มีคติทางพุทธมาเจือปนจากการอัญเชิญพระรัตนตรัยมาเป็นพยาน
๓. คำสาปแช่งผู้ทรยศ คิดไม่ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ให้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้ ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งจากสัตว์ร้ายจากคมหอกคมดาบ ทั้งหมดนี้พรรณนาด้วยโคลงห้า เป็นเนื้อหาที่ยาวที่สุดในบรรดา ๕ ส่วน
๔.คำอวยพรผู้ที่มีความจงรักภักดี คือเมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้ได้รับความดีความชอบปูนบำเหน็จจากพระเจ้าแผ่นดิน ให้เจริญด้วยพร ๔ ประการ เมื่อตายไปให้เทวดานำขึ้นไปสู่สวรรค์เป็นต้น
๕. ถวายพระพรเจ้าแผ่นดิน เป็นร่ายสั้นๆ เพียง ๖ วรรค


พระราชพิธีตรีสัจจปานกาลหรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นพิธีพราหมณ์ เกิดจากความเชื่อเรื่องคำสัตย์สาบาน และความเชื่อเรื่องเทพเจ้า การล้างโลก การสร้างโลก ตามคติทางศาสนาพราหมณ์ ประกอบกับความจำเป็นด้านการปกครองบ้านเมือง เนื่องจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นครั้งแรก ต้องการความซื่อสัตย์สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายทำให้ต้องมีพระราชพิธีดื่มน้ำสาบานตน
การถือน้ำครั้งกรุงเก่ากระทำที่วัดศรีสรรเพชญ์ แล้วย้ายไปที่วิหารพระมงคลบพิตร เมื่อถือน้ำแล้ว นำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปกราบถวายบังคมทูลพระรูปพระเจ้าอู่ทอง แล้วพากันเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน
พิธีเริ่มโดยพระมหาราชครูเชิญพระขันหยก มีรูปพระนารายณ์ทรงศรตั้งอยู่กลางขัน แล้วกรมแสงหอกดาบเชิญพระแสงศรพรหมาสตร์ ประลัยวาต และอัคนิวาต ถอดฝักส่งให้พระครูอ่านโองการแช่งน้ำและแทง พระแสงศรองค์ละ ๓ ครั้ง เมื่อกล่าวถึงพระนารายณ์ แทงพระแสงศรปลัยวาต เมื่อกล่าวถึงพระอิศวร แทงพระแสงศรอัคนิวาต เมื่อกล่าวถึงพระพรหม แทงพระแสงสรพรหมมาสตร์
เมื่ออ่านโองการแช่งน้ำจบแล้ว พระอาลักษณ์อ่านคำประกาศสาบานตน แล้วกรมพระแสงหอกดาบเชิญพระแสงตามลำดับ พระมหาราชครูแทงพระแสงในหม้อและขันสาคร แล้วแจกน้ำให้ข้าราชการบริพารดื่ม


ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
คณะราษฎร์ นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ นายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันตรีควง อภัยวงศ์ นายร้อยโทแปลก คีตะสังคะ เป็นต้น ได้ทำการยึดพระราชอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะราษฎร์ได้สั่งยกเลิกพระราชพิธีทั้งหมดในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาด้วย

พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาหรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล หมายถึง พระราชพิธีอันเป็นมงคล..แห่งความซื่อสัตย์...ที่ใช้น้ำเป็นเครื่องกำหนด เรียกอย่างย่อว่า... พระราชพิธีถือน้ำ.....
อันเป็นการดื่มน้ำที่แทงด้วย พระแสงราชศัสตรา เป็นการสาบานตน เพื่อแสดงความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของตนเอง หากตั้งอยู่ในความสัตย์..

จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญในด้านการปกครอง โบราณกำหนด ผู้ที่ถือน้ำในพิธีดื่มน้ำสาบานไว้ ได้แก่ .....
บรรดาข้าราชการประจำ ทหารที่ถืออาวุธ ศัตรู..ผู้ที่เข้ามาขอพึ่ง..พระบรมโพธิสมภาร..

นอกจากนั้นยังกำหนดโทษสำหรับ ข้าราชการ ที่ไม่มารวมพิธีถือน้ำถึง....ตาย
ยกเว้นผู้ที่เจ็บป่วย และ มีข้อห้ามไม่ให้ใส่แหวนนาก แหวนทอง ร่วมในพิธี
ห้ามกินอาหารก่อนเข้าพิธี หากผู้ใด ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา แล้วยื่นต่อให้แก่กันหรือดื่มแล้วเททิ้ง...โดยไม่ได้เทใส่ผม.... มีโทษ ..เป็น กบฏ !!!!

การถือน้ำ ของข้าราชการประจำ ทำปีละ ๒ ครั้ง คือในเดือนห้า ขึ้น ๓ ค่ำ และ ในเดือนสิบแรม ๑๓ ค่ำ พิธีนี้กระทำต่อกันมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย......!!!

อนึ่ง ! ในการเสกทำน้ำพระพิพัฒน์สัตยานั้น พราหมณ์จะเชิญ พระแสงราชศัสตรา มาแทงน้ำรวมทั้งหมด ๑๓ พระองค์ ได้แก่...
พระแสงศร ๓ องค์
พระแสงขรรค์ชัยศรี
พระแสงดาบคาบค่าย
พระแสงราชศัสตรา ประจำรัชกาลที่ ๑ - ๗

แล้วใช้ พระแสงราชศัสตราสำหรับแผ่นดินนี้ แทงน้ำ ประกอบการอ่าน โองการ..แช่งน้ำ..ซึ่งเป็น โคลงห้าหรือโคลงแช่งน้ำ หรือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ อันเป็นวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เกิดความน่าเกรงกลัว หากจะกระทำผิดจาก ....สัตย์สาบาน..และ ..เกิดศรัทธาที่จะกระทำความดี นับเป็นจิตวิทยาทางการปกครอง ที่ควบคุมจิตใจและความประพฤติของข้าราชการ ทหาร ให้ตั้งอยู่ใน ความซื่อสัตย์สุจริต และ จงรักภักดีต่อพระประมุขของชาติ

หลังพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี แล้ว ผู้รับจะยืนกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน โดย พราหมณ์จะตักน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดื่ม จากนั้นสมาชิกราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดีถวายคำนับ เดินไปยังขันสาคร พราหมณ์จะตักน้ำให้ผู้รับฯ ดื่มต่อไป

โดยปกติ การประกอบพระราชพิธี จะกำหนดไว้ ๒ วัน วันแรกเป็นการเสกน้ำที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันที่ ๒ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และ ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ที่ท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท วัดพระศรีรัตนศาสดาราม


โองการแช่งน้ำ

๏ โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุฑมาขี่ สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี ภีรุอวตาร อสูรแลงลาญทัก ททัคนี (ทักขิณ) จรนายฯ
๏ โอมปรเมศวราย ผายผาหลวงอคร้าว ท้าวเสด็จเหนือวัวเผือก เอาเงือกเกี้ยวข้าง อ้างทัดจันทรเป็นปิ่น ทรงอินทรชฎา สามตาพระแพร่ง แกว่งเพชรกล้า ฆ่าภิฆนจัญไรฯ
๏ โอมชัยชัย ไขโสฬศพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้า หน้าจตุรทิศ ไทยมิตรดา มหากฤตราไตร (ไกร) อมรรตัยโลเกศ จงตรีศักดิท่าน พิญาณปรมาธิเบศ ไทธเรศสุรสิทธิ์ฯ

๏ พ่อเสวยพรหมานฑ์ ใช่น้อย
ประถมบุณยภาร ดิเรก
บูรพภพบรู้กี่ร้อย ก่อมาฯ
นานา อเนกน้าว เดิมกัลป์
จักร่ำ จักราพาฬ เมื่อไหม้
กล่าวถึง ตระวันเจ็ด อันพลุ่ง
น้ำแล้งไข้ ขอดหาย ฯ
เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า เป็นไฟ
วะวาบ จัตุราบาย แผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์ เป็นเผ้า
แลบ่ล้ำ สีลอง ฯ
สามรรถ ญาณครอบเกล้า ครองพรหม
ฝูงเทพ นองบนปาน เบียดแป้ง
สรลมเต็มพระ สุธาวาศ แห่งหั้น
ฟ้าแจ้งจอด นิโรโธ ฯ
กล่าวถึง น้ำฟ้าฟาด ฟองหาว
ดับเดโช ฉ่ำหล้า
ปลาดินดาว เดือนแอ่น
ลมกล้าป่วน ไปมา ฯ
แลเป็นแผ่น เมืองอินทร์
เมืองธาดา แรกตั้ง
ขุนแผน แรกเอาดิน ดูที่
ทุกยั้งฟ้า ก่อคืน ฯ
แลเป็นสี่ ปวงดิน
เป็นเขายืน ทรง้ำหล้า
เป็นเรือนอินทร์ ถาเถือก
เป็นสร้อยฟ้า จึ่งบาน ฯ
จึ่งเจ้า ตั้งผาเผือก ผาเยอ
ผาหอมหวาน จึ่งขึ้น
หอมอายดิน เลอก่อน
สรดึ้นหมู่ แมนมา ฯ
ตนเขา เรืองร่อนหล้า เลอหาว
หาวันคืน ไป่ได้
จาวชิมดิน แสงหล่น
เพียงดับไต้ มืดมูล ฯ
ว่นว่นตา ขอเรือง
เป็นพระสูรย์ ส่องหล้า
เป็นดาวเมือง เดือนฉ่ำ
เห็นฟ้าเห็น แผ่นดิน ฯ
แลมีค่ำ มีวัน
กินสาลี เปลือกปล้อน
........
บ่มี ผู้แต่งต้อน บรรณา ฯ
เลือกผู้เป็น ยิ่งยศ
เป็นราชา อะคร้าว
เรียกนามสมมติ- ติราช
เจ้าจึ่ง ตั้งท้าวจ้าว แผ่นดิน ฯ
สมมติ แกล้วตั้งอาทิตย์ เดิมกาล
สายท่าน ทรงธรณินทร์ เรื่อยหล้า
วันเสาร์ วันอังคาร วันไอยอาทิ์
กลอยแรก ตั้งฟ้ากล่าว แช่งผี ฯ
เชียกบาศก์ด้วย ชันรอง
ชื่อพระ กรรมบดี ปู่เจ้า
ท่านรังผยอง มาแขก
(กลอย) แรกตั้งขวัญเข้า ธูปเทียน ฯ
เหล็กกล้า หญ้าแพรกบั้น ใบตูม
เชียรเชียรใบ บาตน้ำ
โอมโอมภูมิ เทเวศร์
สืบค้ำฟ้า เที่ยงเฮย ย่ำเฮย ฯ
.....
ผู้ใดเภท จงคด
พาจกจาก ซึ่งหน้า
ถือขัน สรดใบพลู ตานเสียด
หว้ายชั้นฟ้า คู่แมน ฯ
มารเฟียดไท ทศพล ช่วยดู
ไตรแดนจักร อยู่ค้อย
ธรรมาระคน ปรัตเยก ช่วยดู
ห้าร้อยเทียร แม่นเดียว ฯ
อเนกถ่อง พระสงฆ์ ช่วยดู
เชียวจรรยา ยิ่งได้
ขุนหงษ์ทอง เกล้าสี่ ช่วยดู
ชระอ่ำฟ้าใต้ แผ่นหงาย ฯ
ฟ้าฟัดพรี ใจยัง ช่วยดู
ใจตายตน บ่ใกล้
(ทั้ง) สี่ปวงผี หาวแห่ง ช่วยดู
พื้นใต้ชื่อ กามภูมิ ฯ
ฟ้าชระแร่ง หกคลอง ช่วยดู
ครูมคลองแผ่น เผือกช้าง
ผีกลางหาว หารแอ่น ช่วยดู
เสียงเงือกงูว้าง ขึ้นลง ฯ
ฟ้ากระแฉ่น เรือนผยอง ช่วยดู
เอาธงเป็น หมอกหว้าย
เจ้าผาดำ สามเส้า ช่วยดู
หันอย้าวปู่ สมิงพราย ฯ
เจ้าผาหลวง ผาลาย ช่วยดู ฯ
แสนผีพึง ยอมท้าว
เจ้าผาดำ ผาเผือก ช่วยดู
ดีร้ายบอก คนจำ ฯ
กำรูคลื่น เปนเปลว
ผีพรายผี ชระมื่นถ้ำ ช่วยดู
………
บ่ซื่อน้ำ ตัดคอ ฯ
ตัดคอเร็ว ให้ขาด
บ่ซื่อ มล้างออเอา ใส่เล้า
บ่ซื่อ น้ำอยาดท้อง เปนรุ่ง
บ่ซื่อ แร้งกาเต้า แตกตา ฯ
เจาะเพาะพุง ใบแบ่ง
บ่ซื่อ หมาหมีหมู เข่นเขี้ยว
เขี้ยวชาชแวง ยายี
ยมราชเกี้ยว ตาตาว ช่วยดู ฯ
ชื่อทุณพี ตัวโตรด
ลมฝนฉาว ทั่วฟ้า ช่วยดู
ฟ้าจรโลด ลิวขวาน
ขุนกล้าแกล้ว ขี่ยูง ช่วยดู ฯ
เคล้าฟ้าเคลือก เปลวลาม
สิบหน้าเจ้า อสุร ช่วยดู
...
พระรามพระลักษณ์ ชวักอร
แผนทูลเขา เงือกปล้ำ ช่วยดู ฯ
ปล้ำเงี้ยวรอน ราญรงค์
ผีดง ผีหมื่นถ้ำล้ำ หมื่นผา ฯ

๏ มาหนน้ำหนบก ตกนอกขอกฟ้าแมน แดนฟ้าตั้งฟ้าต่อ หล่อหลวงเต้า
ทังเหง้าภูตพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ ยักษ์กุมาร หลายบ้านหลายท่า
ล้วนผีห่าผีเหว เร็วยิ่งลมบ้า หน้าเท่าแผง แรงไถยเอาขวัญ
ครั้นมาถึงถับเสียง เยียชระแรงชระแรง แฝงข่าวยินเยีย ชระรางชระราง
รางชางจุบปากเยีย จะเจี้ยวจะเจี้ยว เขี้ยวสระคาน อานมลิ้นเยีย
ละลาบละลาบ ตราบมีในฟ้าในดิน บินมาเยีย พะพลุ่งพะพลุ่ง
จุ่งมาสูบเอา เขาผู้บ่ซื่อ ชื่อใครใจคด ขบถเกียจกาย
หว้ายกะทู้ฟาดฟัน คว้านแคว้นมัดศอก หอกดิ้นเด้าเท้าทก หลกเท้าให้ไป่มิทันตาย
หงายระงมระงม ยมพบาลลากไป ไฟนรกปลาบปลิ้นดิ้นพลาง เขาวางเหนืออพิจี
ผู้บดีบซื่อ ชื่อใครใจคด ขบถแก่เจ้า ผู้ผ่านเกล้าอยุทธยา
สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหา จักรพรรดิศรราชาธิราช ท่านมีอำนาจมีบุญ
คุณอเนกา อันอาศรัยร่ม แลอาจข่มชัก หักกิ่งฆ่า
อาจถอนด้วยฤทธานุภาพ บาปเบียนตน พนธุพวกพ้องญาติกามาไสร้ ไขว้ใจจอด
ทอดใจรัก ชักเกลอสหาย ตนทั้งหลายมาเพื่อจะทำขบถ ทดโหร่ห์แก่เจ้าตนไสร้
จงเทพยดาฝูงนี้ ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี
อย่าให้มีศุขสวัสดิเมื่อใด ฯ
๏ อย่ากินเข้าเพื่อไฟ จนตาย อย่าอาไศรยแก่น้ำ จนตาย
นอนเรือนคำรนคา จนตาย ลืมตาหงายสู่ฟ้า จนตาย
ก้มหน้าลงแผ่นดิน จนตาย สีลองกินไฟต่างง้วน จนตายฯ
๏ จงไปเป็นเปลวปล่อง น้ำคลองกลอกเป็นพิษ คาบิดเปนเทวงุ้ม ฟ้ากระทุ่มทับลง
แล่งแผ่นดินปลงเอาชีพ จรเข้ริบเสือฟัด หมีแรดถวัดแสนงขนาย หอกปืนปลายปักครอบ
ใครต้องจอบจงตาย งูเงี้ยวพิษทั้งหลายลุ่มฟ้า ตายต่ำหน้ายังดิน ฯ
๏ อรินทรหยาบหลาบหล้า ใครกวินซื่อแท้ผ่านฟ้า ป่าวอวยพรฯ

อำนาจ แปล้เมือแมน อมรสิทธิ
มีศรี บุญพ่อก่อ เศกเหง้า
ยศท้าวตริ ไตรจักร
มิ่งเมืองบุญ ศักดิ์แพร่
เพิ่มช้างม้า แผ่วัวควาย

๏ เพรงรัตนพรายพรรณยื่น เพิ่มเขาหมื่นมหาไชย ใครซื่อเจ้าเติมนาง ใครซื่อรางควายทอง
ใครซื่อฟ้าสองอย้าวเร่งยิน ใครซื่อสินเภตรา ใครซื่อใครรักเจ้ายศยง จงกลืนชนมาให้ยืนยิ่ง
เทพายศล่มฟ้า อย่ารู้ว่าอันตราย ใจกล้าได้ดังเพชร ขจายขจรอเนกบุณย์
สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหา จักรพรรดิศรราชเรื่อยหล้า ศุขผ่านฟ้า
เบิกสมบุญ พ่อสมบุญฯ





โองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีที่ใช้คำเก่า แต่เป็นคำไทยแม้เป็นส่วนมาก ทำให้อ่านเข้าใจยาก ทำให้นักวิจารณ์สับสน ซึ่งแตกต่างจากวรรณคดีที่ใช้ภาษาบาลีหรือสันสกฤต ที่สามารถสืบหาความหมายได้ง่ายกว่า เช่น ลิลิตยวนพ่าย ซึ่งใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตปะปนอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำริ ว่า "โองการแช่งน้ำนี้เรียกว่า โคลง เขียนเป็นหนังสือพราหมณ์ แต่เมื่อตรวจดูจะกำหนดเค่าว่าเป็นโคลงอย่างไรก็ไม่ได้สนัด ได้เค้าๆ บ้างแล้วก็เลือนไป แต่เนื้อความนั้นเป็นภาษาไทย ถอยคำที่ใช้ลึกซึ้งที่ไม่เข้าใจบ้างก็มี..." ("พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล", พระราชพิธีสิบสองเดือน)

คำศัพท์ในโองการแช่งน้ำมีการผสมผสาน เริ่มตั้งแต่คำศัพท์บาลีและสันสกฤต โดยเฉพาะในช่วงต้นที่เป็นการบูชาเทพเจ้าทั้งสาม เช่น โอม สิทธิ มฤตยู จันทร์ ธรณี เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ไทยโบราณ มีลักษณะของคำโดดพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่ หลายคำปรากฏอยู่ในเอกสารภาษาไทย และจารึกภาษาไทยสมัยสุโขทัย และอยุธยา นอกจากนี้ยังปรากฏคำในภาษาถิ่นของไทยด้วย เช่น สรวง แผ้ว แกล้ว แล้งไข้ แอ่น แกว่น ฯลฯ
สำหรับคำเขมรนั้นปรากฏไม่มากนัก เช่น ถวัด แสนง ขนาย ขจาย ฯลฯ
ในส่วนของสำนวนภาษานั้นมีลักษณะการแช่งที่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทย เช่น "ขอให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี"


เชื่อกันว่าโองการแช่งน้ำฉบับนี้ แต่งขึ้นด้วย โคลงห้า ที่นิยมใช้กันในอาณาจักรล้านช้างในยุคเดียวกันนั้น กล่าวคือ บาทหนึ่ง มี ๕ คำ เป็นวรรคหน้า ๓ คำ วรรคหลัง ๒ คำ หนึ่งบทมี ๔ บาท นิยมใช้เอกโท (เอกสี่ โทสาม) แต่สามารถเพิ่มสร้อยหน้า และสร้อยหลังบาทได้ ทั้งนี้ยังมีร่ายสลับ จึงนิยมเรียกว่า ลิลิต แม้จะไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมการแต่งลิลิตทั่วไป ที่มักจะแต่งร่ายสุภาพร้อยกับโคลงสุภาพ หรือร่ายดั้นร้อยกับโคลงดั้น ก็ตาม
ตามหลักแล้ว ลิลิต หมายถึง หนังสือที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท โคลง และร่าย สลับกันเป็นช่วงๆ ตามธรรมเนียมแล้ว มักจะใช้โคลงและร่ายในแบบเดียวกัน กล่าวคือ โคลงดั้น สลับกับร่ายดั้น, โคลงสุภาพ สลับกับร่ายสุภาพ อย่างนี้เป็นต้น โคลงและร่ายที่สลับกันนั้น มักจะร้อยสัมผัสด้วยกัน เรียกว่า เข้าลิลิต
วรรณคดีที่แต่งตามแบบแผนลิลิต มักจะใช้ร่ายและโคลงสลับกันเป็นช่วงๆ ตามจังหวะ ลีลา และท่วงทำนอง และความเหมาะสมของเนื้อหาในช่วงนั้นๆ สำหรับโองการแช่งน้ำ แม้จะเคยเรียกกันว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำ มาก่อน แต่ในปัจจุบันนักวรรณคดีส่วนใหญ่สมัครใจที่จะเรียกชื่อโดยไม่มีคำว่าลิลิต ทั้งๆ ที่ในโองการแช่งน้ำ ก็แต่งด้วยร่ายสลับโคลง ทว่าเป็นร่ายโบราณ สลับกับโคลงห้า ซึ่งไม่ปรากฏแบบแผนที่ไหนมาก่อน